วันที่โพสต์: Jul 05, 2016 2:29:11 PM
วันนี้จะทำโครงการเสนอท่านผอ.เขต ซึ่งได้รับโจทย์ในการเสนอโครงการว่า โครงการที่เสนอต้องเป็นโครงการที่มีนวัตกรรมในตัว และต้องทำเป็นผลงานทางวิชาการของตนเองได้ แต่ก็เป็นปัญหาซิครับ เพราะโครงการที่เสนอไปหลายครั้งหลายท่านไม่ผ่านการอนุมัติ ต้องทบทวนใหม่ ครั้งนี้จะได้ขึ้นนำเสนอโครงการอีกรอบ ปรับนิดปรับหน่อยให้สอดคล้องกับโจทย์ครับ ก็เลยจะใช้กระบวนการนิเทศเป็นนวัตกรรม แล้วจะเอากระบวนการนิเทศอะไรดีละ(คิดในใจ) ลองค้นดูพบกระบวนการที่น่าสนใจครับ คือกระบวนการนิเทศแบบ PIDRE แล้วก็ไปเจออยู่ที่เว็บ ๆ หนึ่งครับรายละเอียดดังนี้
กระบวนการนิเทศการศึกษาสำหรับสังคมไทย จากประสบการณ์ของ ดร. สงัด อุทรานันท์ ที่ได้ควบคุมการฝึกปฏิบัติงานทางการนิเทศการศึกษาของนิสิตปริญญามหาบัณฑิต สาขานิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรเป็นเวลาหลายปี ได้นำเอาหลักการและแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศการศึกษาของต่างประเทศมา ใช้ ได้พบว่าสภาพพื้นฐานเกี่ยวกับความเข้าใจในแนวคิดทางการนิเทศสมัยใหม่ของ บุคลากรในประเทศไทยยังไม่ดีพอจึงทำให้การดำเนินงานส่งเสริม
การนิเทศการศึกษา ให้เกิดขึ้นในโรงเรียนและสถานศึกษาต่าง ๆ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
สาเหตุที่การส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงเรียนและสถานศึกษาต่าง ๆ ให้การนิเทศการศึกษาด้วยตนเองไม่บรรลุผลสำเร็จนั้นพอสรุปได้ดังนี้
(1) คำนิยามของคำว่า “การนิเทศ” ที่ใช้กันในประเทศไทยนั้นยังไม่ชัดเจนพียงพอที่จะชี้แนะนำไปสู่ภาคปฏิบัติ ได้ ดังนั้นจึงทำให้ขาดกรอบความคิดที่จะนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างถูก ต้อง
(2) ผู้บริหารโรงเรียนหรือหัวหน้าสถานศึกษาไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับการ นิเทศการศึกษา โดยคิดว่าการนิเทศการศึกษาเป็นงานของศึกษานิเทศก์โดยเฉพาะ ดังนั้นผู้บริหารจึงไม่ได้ให้ความสนใจแก่การจัดการนิเทศการศึกษาอย่างจริง จัง
(3) ขาดการเสริมแรงในการทำงานผู้บริหาร สาเหตุข้อนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความคงทนถาวรของพฤติกรรมที่ได้รับการ เปลี่ยนแปลงจากการนิเทศ ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใด ๆ ก็ตามผู้นิเทศและผู้ได้รับการนิเทศต่างก็ต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารก็ย่อมจะหมดกำลังใจในที่สุด
จากจุดอ่อนดังกล่าวมาแล้ว ดร.สงัด อุทรานันท์ จึงได้พยายามพัฒนากระบวนการนิเทศการศึกษาซึ่งสะท้อนแนวทางในการปฏิบัติ โดยการกระทำต่อไปนี้
(1) เสนอรูปแบบของการนิเทศในลักษณะของ “กระบวนการ” ซึ่งต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนทำเป็นระบบ มีความต่อเนื่อง และไม่มีการหยุดนิ่ง หากยุติกระบวนการเมื่อใดก็ถือว่าได้หยุดการนิเทศเมื่อนั้น
(2) ให้ผู้บริหารการศึกษาตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อการจัดการจัดนิเทศการศึกษา ว่าเป็นงานของผู้บริหารโดยตรง ซึ่งเรียกชื่อย่อของกระบวนการนิเทศการศึกษาว่า “PIDRE”
3) จากการวิจัยในต่างประเทศ เช่น ฟาวเลอร์-ฟินน์(Fowler Finn, 1980) และเฮดเลย์ (Hadley,1982) ได้พบว่าการให้แรงเสริมกำลังใจจะมีส่วนทำให้การนิเทศประสบผลสำเร็จสูงกว่า ไม่มีการเสริมแรง
หากจะพิจารณาสภาพการทำงานในสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรม มีความผูกพันฉันท์มิตรสูงกว่าสังคมตะวันตกก็ย่อมจะมีความต้องการแรงเสริม กำลังใจในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเห็นว่าการเสริมกำลังใจของผู้บริหารจะทำให้ผู้รับการนิเทศรวมทั้ง ผู้ให้การนิเทศมีกำลังใจในปฏิบัติงาน จึงได้จัดให้มีการเสริมแรงหรือการส่งเสริมกำลังใจ (Reinforcement) เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการนิเทศการศึกษาสำหรับการศึกษาสังคมไทย
สำหรับกระบวนการนิเทศการศึกษาดังที่กล่าวมาแล้ว มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P)
ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I)
ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D)
ขั้นที่ 4 สร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R)
ขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating-E)
(สงัด อุทรานันท์, 2527)
จากรูปแบบกระบวนการนิเทศที่เสนอมานี้ แสดงให้เห็นว่าการนิเทศจะประสบผลสำเร็จได้จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเป็น ขั้นตอนและต่อเนื่องกันดังนี้คือ
ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) เป็น ขั้นที่ผู้บริหารผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศจะทำการประชุมปรึกษาหารือเพื่อ ให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจำเป็นที่จะต้องมีการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการนิเทศที่จะจัดขึ้นอีกด้วย
ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ในสิ่งที่จะทำ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะดำเนินงานว่าจะต้องอาศัย ความรู้ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร และจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ได้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นนี้จำเป็นทุกครั้งสำหรับการเริ่มการนิเทศที่จัดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเป็น เรื่องใดก็ตาม และก็มีความจำเป็นสำหรับงานนิเทศที่ยังไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงขั้นที่พอใจซึ่งจำเป็นจะต้องทำการทบทวนให้ความรู้ในการ ปฏิบัติงานที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นที่ 3 การปฏิบัติงาน (Doing -D) ประกอบด้วยงานใน 3 ลักษณะคือ
3.1 การปฏิบัติงานของผู้รับนิเทศเป็นขั้นที่ผู้รับการนิเทศลงมือปฏิบัติงานตาม ความรู้ความสามารถที่ได้รับมาจากดำเนินการในขั้นที่ 2
3.2 การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ ขั้นนี้ผู้ให้การนิเทศจะทำการนิเทศและควบคุมคุณภาพให้งานสำเร็จออกมาทันตาม กำหนดเวลาและมีคุณภาพสูง
3.3 การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ ผู้บริหารก็จะให้บริการสนับสนุนในเรื่องวัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างได้ผล
ขั้นที่ 4 การสร้างขวัญและกำลังใจ (Reinforcing-R) ขั้นนี้เป็นขั้นของการเสริมกำลังใจของผู้บริหารเพื่อให้ผู้รับการนิเทศมี ความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจ ในการปฏิบัติงานขั้นนี้อาจจะดำเนินการไปพร้อม ๆ กันกับผู้ที่รับการนิเทศกำลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้นลงไป แล้วก็ได้
ขั้นที่ 5 ประเมินผลผลิตของการดำเนินงาน (Evaluating-E) เป็นขั้นที่ผู้นิเทศทำการประเมินผลการดำเนินการซึ่งผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่าง ไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศหากพบว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้การดำเนินงานไม่ได้ผลก็สมควรจะต้องทำการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจจะทำได้โดยการให้ความรู้ในสิ่งที่ทำใหม่อีกครั้ง หนึ่งสำหรับกรณีที่ผลงาน ออกมายังไม่ถึงขั้นที่พอใจ หรือดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานทั้งหมดสำหรับกรณีการดำเนินงานเป็นไปไม่ ได้ผลและ ถ้าหากการประเมินผลได้พบว่าประสบผลสำเร็จตามที่ได้ตั้งไว้หากจะได้ดำเนินการ นิเทศต่อไปก็สามารถทำไปได้เลยโดยไม่ต้องให้ความรู้ในเรื่องนั้นอีก
การดำเนินการนิเทศตามวัฏจักรนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่งจนกว่า จะบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือพัฒนาผู้รับการนิเทศให้เป็นไปตามต้อง การ หากบรรลุสำเร็จตามจุดมุ่งหมายแล้วต้องการจะหยุดกระบวนการทำงานก็ถือว่าการ นิเทศได้สิ้นสุดลงแล้ว ครั้นต้องการเริ่มนิเทศในสิ่งใหม่หรือตั้งเป้าหมายใหม่ก็จะต้องดำเนินการ ตั้งแต่เริ่มแรกอีกดังแสดงให้เห็นความต่อเนื่องของกระบวนการนิเทศการศึกษาใน ภาพดังต่อไปนี้
ดังนั้น วางแผนการทำงาน ให้ความรู้ในสิ่งที่ทำ หลังจากนั้นจึงลงมือปฏิบัติงานโดยมีการนิเทศควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกันผู้บริหารจะต้องสร้างขวัญและกำลังใจระหว่างการทำงานและหลังการทำ งานผ่านไปแล้ว และในขั้นสุดท้ายก็ทำการประเมินผล ทำในลักษณะเช่นนี้ จนกระทั่งบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ หากบรรลุผลแล้วต้องการจะหยุดก็ถือว่าการนิเทศสิ้นสุดลงแล้ว ดังนี้เป็นต้น
อ้างอิงบทความนี้
อัญชลี ธรรมะวิธีกุล:http://panchalee.wordpress.com/2009/03/30/process/
ซึ่งผมว่ามันใช่สำหรับผมแล้วละ ก็เลยเอากระบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการในการดำเนินโครงการซึ่งผมตั้งชื่อโครงการนี้ว่า
” พัฒนาสื่อ ict ด้วยระบบออฟไลน์เพื่อเสริมการจัดการสอนสำหรับครูใน โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ” นำเสนอวันนี้ตอนบ่ายโมงครับ